เมื่อพูดถึงโรงแรมหรือหอพัก ทำให้ผมนึกถึงเรื่องผีๆ ขึ้นมาในสมองทันที โดยเฉพาะถ้ามีเสียงร่ำลือกันว่าโรงแรมหรือหอพักนั้นๆ เคยมีคนตายหรือมีคนผูกคอตายในห้องมาแล้ว อย่างนี้คงหาคนเข้าพักยากนะครับ ยิ่งจำพวกขวัญอ่อน คงถูกผีหลอกกันทั้งคืน (หลอกตัวเองไปหรือเปล่าก็ไม่รู้?)
สำหรับแฟลตแพทย์กับเรื่องผีๆ ก็มีให้เล่าเป็นตำนานอยู่หลายที่ แต่แฟลตแพทย์ที่ผมอาศัยอยู่ เป็นแฟลตสร้างใหม่ มีทั้งหมด 6 ชั้น และแต่ละชั้นมีอยู่ 4 ห้องเท่านั้น โดยชั้นล่างไม่มีห้องพัก ห้องพักจึงเริ่มตั้งแต่ชั้นที่ 2 ถึงชั้นที่ 6 รวม 20 ห้อง กล่าวได้ว่าแฟลตแพทย์หลังนี้เป็นที่สิงสถิตย์ของบรรดาเหล่าแพทย์ เภสัชและทันตะ ที่ไม่ค่อยจะมีความเชื่อเรื่องผีๆ กัน หรือบางคนก็ว่าแม้แต่ผีก็ยังต้องกลัวหมอ ทั้งนี้เพราะมือหมอล้วนแต่ผ่านการเปื้อนเลือดมากันทั้งนั้น (มันเป็นความเชื่อนะครับ) บางท่านโต้ว่าไม่จริงหรอก ก็หมอสมัยนี้เขาใส่ถุงมือทำแผลกัน เลือดจึงเปื้อนได้แต่ถุงมือเท่านั้นเอง
ที่จริงแฟลตแพทย์ของผมตั้งอยู่ในเขตบ้านพักที่อยู่ติดกับเขตโรงพยาบาล มีรั้วกั้นและมีประตูรั้วให้เดินข้าม ในเขตบ้านพัก นอกจากแฟลตแพทย์แล้วก็ยังรายล้อมไปด้วยบ้านพักเป็นหลังๆ ของบรรดาแพทย์ที่มีครอบครัวและเจ้าหน้าที่อื่นๆ ครั้นเมื่อถึงเวลาทำงาน ก็เพียงแต่เดินจากฝั่งบ้านพักสู่ประตูรั้วเขตติดต่อเข้าไปยังฝั่งบริเวณอาคารทำงานของโรงพยาบาล เป็นเช่นนี้อยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ตามเมื่อใดที่ผมต้องเดินผ่านบ้านพักที่เรียงรายอยู่ ก็ต้องพบกับอุปสรรคใหญ่หลวงอยู่เป็นประจำ นั่นก็คือเหล่าบรรดาสุนัขทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก ทั้งมีเจ้าของ ทั้งเร่ร่อน บุคลากรบางท่านก็เลี้ยงสุนัขเอาไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา พอตกกลางคืนก็พากันเก็บเข้ากรุเข้ากรง แต่ก็มีบางบ้านที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านเป็นการเฉพาะ เนื่องจากเคยถูกขโมยเข้ามาโจรกรรมทรัพย์สินในบ้าน สุนัขพวกนี้จึงดุน่าดู และเป็นที่กล่าวขานถึงสุนัขเฝ้าบ้านของแพทย์อาวุโสสองท่าน ที่ชอบเห่าหอนหรือเที่ยวไล่กัดคนที่สัญจรผ่านไปมาเมื่อมันเกิดอาการไม่พอใจ นัยว่าเป็นการสร้างผลงานให้เจ้านายของมันเห็น หรือยิ่งเวลากลางคืนที่มันมีหน้าที่เฝ้าบ้านโดยตรงด้วยแล้ว มันแหนหวงอาณาบริเวณของมันมาก ทำให้ผมต้องยอมเดินเลี่ยงบ้านของแพทย์อาวุโสทั้งสองท่านไปอีกทางหนึ่งเมื่อต้องไปทำงานในยามค่ำคืน แม้ว่าหนทางจะไกลกว่า แต่ก็สบายก้นกว่ามากทีเดียวครับ
ใครว่าหมาหอนเมื่อตอนเห็นผี อันนี้คงหาคำตอบได้ยากส์มาก แต่ก็รู้ว่าเจ้าสุนัขชอบเห่าหอนในเวลากลางคืน และเมื่อสุนัขตัวหนึ่งหอน ตัวอื่นๆ ก็หอนตามเป็นพัลวันพัลเก ยิ่งดูท่าที่มันหอนด้วยแล้ว มันจะนอนหอน เสียงก็คงไม่ดังออกมา มันก็ได้แต่ยืนโก่งคอหอน ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ผมเองก็เคยถูกสุนัขในเขตบ้านพักมันเห่าหอนอยู่บ่อยๆ ก็ตอนที่ผมถูกตามไปชันสูตรศพในเวลาดึกดื่นค่อนคืนนั่นเอง (เรียกว่าเวรชันสูตรคนตายที่ผิดธรรมชาติ อาทิ ถูกรถชน รถทับ แขนหักขาหัก คอบิดเบี้ยว กระโหลกยุบ เป็นต้น) ถ้าจะคิดว่าเมื่อแพทย์ไปชันสูตรศพที่เละตุ้มเป๊ะกลับมาแล้วดวงวิญญาณคนตายอาจเดินตามมาด้วยนั้น จึงทำให้บรรดาเหล่าสุนัขทั้งหลายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กต่างเห่าหอนเพราะมันมองเห็นผี ก็เห็นจะมีคนวินิจฉัยเช่นนี้อยู่เหมือนกัน หรือมันอาจผิดกลิ่นคนตายที่ติดตัวมากับแพทย์ก็ได้ แต่มันก็เห่าหอนกันบ่อยๆ อยู่แล้วนี่ และที่ผมกลัวมากที่สุด ไม่ใช่กลัวผีนะครับ แต่เห็นจะเป็นด้วยกลัวว่ามันจะกัดก้นเอาก็เท่านั้นเอง
และแล้วคืนหนึ่งผมก็ได้เจอะเจอกับสิ่งเร้นลับด้วยตัวเองจนได้ มันทำให้ผมเซอร์ไพรซ์สุดๆ ผมจำได้ว่าเป็นเวลาราวสี่ทุ่ม ผมกำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องพักของผมตามลำพัง ผมนั่งห่างจากจอทีวีราว 3 เมตรเห็นจะได้ โดยที่ทีวีตั้งอยู่บนชั้นของตู้โชว์ที่สูงจากพื้นราว 1.3 เมตร และผมก็นั่งดูอยู่บนเก้าอี้ จึงทำให้ทีวีอยู่ในระดับสายตาพอดิบพอดี แต่แล้วจู่ๆ ก็มีของที่ระลึกหรือที่เรียกว่าซูวีเนียร์ที่ทำมาจากเทียนไข ปั้นเป็นรูปกล้วยหอม 1 ผล น้ำหนักราวๆ เท่ากับผลเงาะ 1 ผลเช่นกัน ซึ่งมันวางอยู่บนหลังทีวีของมันมานาน ไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยวกับมัน จู่ๆ มันก็ได้ล่องลอยแหวกอากาศมาตกอยู่ตรงปลายเท้าของผมพอดี เล่นเอาผมตกใจแทบแย่ แต่ก็ยังวินิจฉัยหาสาเหตุไม่ได้ โดยเฉพาะวิถีการตกเป็นรูปเส้นโค้งที่ดูเหมือนมีแรงผลักออกมาร่วมด้วย อย่างไรก็ตามในวันต่อมาผมได้นำเรื่องนี้ไปเล่าขยายผลให้เพื่อนๆ ฟังแบบขำๆ
ปัญหานี้ได้รับการเฉลย เมื่อวันหนึ่ง ผมกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบยางลบดินสอที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องพักของผม ก็พอดีกับจิ้งจกตัวหนึ่งที่มันหลบซ่อนอยู่ มันเกิดอาการตกใจและวิ่งหนีไป เป็นผลให้ยางลบดินสอก้อนนั้นถึงกับกระเด็นออกไปไกลหลายเซนต์ ผมจึงถึงบางอ้อว่าบางทีของที่ระลึกที่ตกหล่นใส่เท้าของผมในวันก่อน อาจเกิดจากจิ้งจกหนุ่มชนกระเด็นเข้าให้หรือมันอาจสะบัดหางใส่สิ่งของนั้นในขณะที่มันเริ่มต้นจะวิ่งหนี ก็เป็นไปได้ ซึ่งตอนนั้นผมไม่ทันได้สังเกตเห็นจิ้งจกและในห้องพักของผมก็มีจิ้งจกอยู่มากจริงๆ เสียด้วย
ผมยังมีเรื่องที่ชวนสงสัยไม่หยุดหย่อน เมื่อคืนหนึ่งในขณะที่ผมกำลังเคลิ้มหลับอยู่นั้น พลันก็ได้ยินเสียงเหมือนคนถอนหายใจ 1 เฮือกอยู่ข้างๆ หูของผมนี่เอง มันชัดเจนมาก ผมคงไม่ได้หูแว่วเป็นแน่ และเมื่อผมพยายามตั้งใจฟังอีกครั้งหนึ่ง ก็กลับไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย มันทำให้ผมฉงนใจยิ่งนัก อย่างไรก็ดี เมื่อผมสำรวจดูในเช้าวันถัดมา ผมก็พบว่าตรงด้านที่ผมนอนอยู่นั้น ที่ด้านนอกแฟลตมีนกพิราบบินมาเกาะอยู่บ่อยๆ มันสามารถเกาะได้แม้เพียงแง่งปูนที่ยื่นออกไปเพียงเล็กน้อย หรือบางทีมันก็ทำเสียงแปลกๆ ให้ตกใจเล่น แต่อย่างไรก็ไม่ถึงกับเหมือนเสียงถอนหายใจที่ผมได้ยินในคืนนั้นเสียทีเดียว
ผมกล้าพูดได้ว่าถ้าเป็นคนขวัญอ่อน ป่านนี้คงแย่ไปแล้วครับ โดยเฉพาะตัวผมชอบที่จะปิดไฟฟ้าในห้องทุกดวงถ้าผมไม่ต้องใช้ดวงตาทำงานเกี่ยวกับหนังสือแล้ว เมื่อลูกตาชินกับสภาพความมืด ผมจะสามารถเดินไปไหนมาไหนในห้องได้อย่างสบายๆ ขอเพียงมีแสงจันทร์เล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่างบ้างเล็กน้อยก็พอ เมื่อผมถามไถ่เพื่อนๆ แพทย์ ผมจึงรู้ว่าก็มีแพทย์บางท่านที่กลัวผีเป็นเหมือนกัน อย่างมีแพทย์หญิงท่านหนึ่งชอบเปิดไฟนอน เธอให้เหตุผลว่าเธอไม่ได้กลัวผี แต่เป็นเพราะถ้าปิดไฟแล้วมีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นมา มันจะแก้ไขลำบาก และถ้าปิดไฟ เธอจะนอนไม่หลับเพราะไม่ชิน ซึ่งแตกต่างไปจากผมโดยสิ้นเชิง เอาล่ะ อีกไม่นานนัก ผมยังมารู้อีกว่าที่ชั้น 6 ของแฟลตแพทย์ มีแพทย์หญิงที่มีชำนาญทางกายภาพอยู่ท่านหนึ่ง อาศัยอยู่ในห้องลำพังคนเดียว เธอกลัวผีสุดๆ ถึงขนาดต้องเสียค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือนมากกว่าชาวบ้านอย่างชัดเจน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ติดแอร์ในห้องด้วยซ้ำไป ทั้งนี้เป็นเพราะเธอต้องเปิดไฟในห้องทุกดวงในเวลากลางคืนให้สว่างไสวราวกับตอนกลางวัน รวมถึงต้องเปิดทีวี-วิทยุนอนตลอดทั้งคืนอีกด้วย หรือใครอย่าได้เที่ยวไปเล่าเรื่องผีๆ ให้เธอฟังเชียว ผมจึงมักแกล้งเล่าเรื่องผีแฟลตแพทย์ให้เธอฟัง เธอโกรธผมมาก
สำหรับผมเองก็ยังคาใจในเรื่องผีแฟลตแพทย์เรื่อยมา คืนนั้นเอง ผมยังจำได้ดีเมื่อผมเดินเข้ามาในแฟลตราว 3 ทุ่ม ตอนนั้นมีผมเพียงคนเดียวเพราะใครๆ เขากลับบ้านกันเกือบหมดในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว สภาพจึงคล้ายแฟลตร้างคน ที่หน้าลิฟท์ เมื่อประตูลิฟท์ซึ่งค้างอยู่ที่ชั้นล่าง (ชั้นที่ 1) อยู่แล้วถูกเปิดออก ผมจึงเดินเข้าไป ผมใช้นิ้วชี้กดไปที่ปุ่มหมายเลข 2 จากนั้นผมก็ยืนก้มหน้ามองพื้นลิฟท์ ผมหันหน้าออกไปทางประตูลิฟท์ ผมรู้สึกได้ว่าประตูลิฟท์มันทำงานช้ามาก ดังนั้นผมจึงตัดสินใจยื่นมือไปกดที่ปุ่มลูกศรปิดประตูอีกที โดยผมเพียงแต่ชำเลืองหางตาไปดูที่ปุ่มกดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็พอดีกับประตูลิฟท์ที่กำลังจะปิดตัวลง เกิดอาการสะดุดเล็กน้อยก่อนจะทำงานต่อไป ประตูลิฟท์ถูกปิดและลิฟท์กำลังเคลื่อนที่ขึ้น ผมจำได้ว่าผมรู้สึกได้ถึงอากาศที่เย็นยะเยือกล่องลอยอยู่ที่แผ่นหลังของผม และผมก็ยังอยู่ในท่าก้มหน้าเช่นเดิม เอาล่ะ เมื่อลิฟท์มาหยุดที่ชั้น 2 และประตูลิฟท์กำลังจะเปิดออกมา ผมจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อรอเวลาที่ประตูลิฟท์จะเปิดและผมจะได้เดินออกไป ทันใดนั้นเอง เมื่อผมหันไปมองที่ปุ่มต่างๆ ที่แผงควบคุม ผมก็ต้องแปลกใจอย่างมากเมื่อผมมองเห็นไฟของปุ่มชั้นที่ 6 ติดแดงอยู่ด้วย
ผมนึกในใจ ใครกันที่มากดปุ่มนี้ ไม่มีเหตุผลใดเลยจะมาอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ มันทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที แต่ก็พยายามข่มใจให้นิ่งๆ และเมื่อประตูลิฟท์เปิดออกเต็มที่แล้ว ผมจึงรีบเดินจำอ้าวออกจากลิฟท์โดยไม่หันไปมองที่ลิฟท์นั้นอีก ผมรู้ว่าลิฟท์กำลังวิ่งขึ้นไปที่ชั้น 6 ซึ่งมีห้องว่างอีก 2 ห้อง ส่วนอีกสองห้องมีแพทย์อาศัยอยู่ (คือทั้งแฟลตมีว่างเพียงสองห้องนี้เท่านั้น)
ผมรีบเดินไปที่ห้องของผม หยิบลูกกุญแจออกมาและไขกุญแจด้วยมือที่สั่นเทา เมื่อความพยายามสัมฤทธิ์ผลแล้ว ผมจึงรีบเข้าห้องและล็อคประตูห้องทันที ผมต้องนั่งนิ่งๆ อยู่ในห้องสักพักหนึ่ง ไม่อยากคิดอะไรอีก คืนนั้นผมข่มตานอนแทบไม่หลับเอาเสียเลย แต่ก็ยังต้องปิดไฟนอนเหมือนเดิม
ในวันรุ่งขึ้น ตลอดทั้งวัน ผมเอาแต่ครุ่นคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่! จนในที่สุดผมจึงตัดสินใจไปสำรวจลิฟท์โดยละเอียด ผมมองไปที่แผงควบคุมที่มีปุ่มกดต่างๆ ผมก็ได้เห็นปุ่มกดหมายเลข 6 อยู่ใกล้ๆ กับปุ่มกดปิดประตูนี่เอง ผมสรุปว่า ผมคงไม่ได้มองให้แม่นยำเสียก่อนที่จะกดปุ่มปิด ผมจึงกดปุ่มผิด โดยที่ตั้งใจจะกดปุ่มปิดประตู แต่นิ้วไปกดถูกปุ่มหมายเลข 6 แทน
ทุกวันนี้มันยังไม่มีอะไรที่ผมอธิบายไม่ได้ ผมจึงยังไม่เชื่อในเรื่องผีๆ ผมขอสรุปต่อไปอีกว่า ที่คนไทยมักชอบพูดว่า ถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นั้น สำหรับผม ถ้าไม่เชื่อและสงสัยก็ต้องพิสูจน์ให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย เพราะถ้าไม่พิสูจน์อันเนื่องมาจากความเกรงกลัวกับสิ่งที่มองไม่เห็น นั่นก็หมายถึงเราเชื่อมากกว่าครึ่งหนึ่งไปแล้ว ใช่ไหมครับ อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับว่าการพิสูจน์ต้องผ่านขั้นตอนของความกลัวเหมือนกัน บางครั้งผมก็กลัวเป็นนะครับ เพราะผมก็มีเลือดเนื้อและชีวิตคนหนึ่ง
|