สมองมีหน้าที่หลายประการ สมองทำให้เกิดความคิด อารมณ์ การรับรู้ และรวมถึงความจำ ส่วนคำว่า "เสื่อม" หมายถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพไปในทางเสียหายและมักไม่กลับคืนดีดังเดิม ดังนั้นสมองเสื่อมจึงหมายถึงสมองมีความเสียหาย กระทั่งเกิดความผิดปกติที่สามารถตรวจพบได้ ถ้ามีความเสื่อมหลายตำแหน่งก็จะให้ความผิดปกติหลายๆ อย่างปรากฏ ความเสื่อมนี้มักเป็นแบบเพิ่มขึ้น ลุกลามมากขึ้น และยากจะหายกลับคืนมา
อนึ่งหน้าที่สำคัญของสมองอย่างหนึ่งก็คือการจดจำประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผ่านมา อาทิ จำได้ว่าเมื่อต้องการจะเปิดไฟฟ้าในห้องจะต้องไปกดที่สวิทส์ตัวไหน? อย่างไร? หรือจะคุยกับเพื่อนที่อยู่ห่างไกล ต้องใช้โทรศัพท์ และยังจำได้ว่าจะต้องกดหน้าจอโทรศัพท์อย่างไร? รวมถึงจดจำชื่อของเพื่อนและเบอร์เพื่อนได้ ดังนั้นถ้าสมองส่วนความจำนี้เสียหาย ผู้ป่วยก็จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติเช่นเดิมอีก กระทั่งเมื่อเป็นมากจนถึงขั้นไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงอาจเรียกสภาวะสมองเสื่อมนี้ในอีกชื่อหนึ่งว่าสภาวะความจำเสื่อมนั่นเอง อาทิ เมื่อผู้ป่วยเดินออกจากบ้านแล้วจะไม่สามารถจำทางกลับบ้านได้ หรือไม่สามารถแยกแยะชนิดของธนบัตรได้ หรือไม่สามารถประกอบอาหารได้ เป็นต้น
เมื่อสารชีวเคมีที่เรียกว่าสารอะเซติลโคลีนในสมอง ตรงบริเวณช่องว่างระหว่างเซลประสาทลดต่ำลง จะทำให้การส่งกระแสประสาทในเซลกลุ่มนี้ถูกลดทอนสมรรถภาพ ซึ่งเซลกลุ่มนี้จะทำหน้าที่ส่งผ่านข้อมูลเก่าที่เคยถูกเก็บไว้ในสมอง ทำให้การจดจำข้อมูลใหม่ไม่สามารถทำได้ อีกทั้งการฟื้นความจำที่มีอยู่เดิมก็ไม่อาจทำได้ด้วย และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเซลประสาทกลุ่มนี้ล้มหายตายจากมากขึ้น ปัญหาเรื่องความจำจึงมีมากขึ้นตามลำดับ กระทั่งเข้าสู่สภาวะความจำเสื่อม หรือถูกเรียกว่าโรคสมองเสื่อม
หน้าที่ของจิตแพทย์ก็คือการรักษาคนไข้สมองเสื่อมกลุ่มนี้ด้วยการให้ยาที่ช่วยเพิ่มสารอะเซติลโคลีน อีกทั้งยังต้องดูแลความเสื่อมให้ช้าลง อย่างไรก็ตามการรักษาโรคสมองเสื่อมอาจเป็นเพียงการช่วยยืดความเสื่อมให้ช้าลงได้เพียง 5-7 ปีเท่านั้น เพราะเมื่อถึงที่สุดที่เซลประสาทกลุ่มนี้ลดจำนวนลง การให้สารอะเซติลโคลีนก็ไม่อาจช่วยได้อีกต่อไป
โรคสมองเสื่อมที่เรารู้จักกันดี ได้แก่ โรคอัลไซเมอร์
|