เป็นเรื่องยากที่จะกล่าวว่าอะไรคือเท็จและอะไรคือจริง เพราะกระทั่งปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่กระจ่างชัดกับเรื่องราวเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า จำได้ว่าเกือบ 10 ปีมาแล้วที่มันยังโลดแล่นอยู่ในสมองทุกครั้งที่ได้ขับรถผ่านวัดแห่งนี้ มันไม่ใช่วัดใกล้บ้าน แต่ก็เป็นทางผ่านอยู่บ่อยๆ โดยวัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่เนินสูงจากพื้นถนนราว 3-4 เมตร และเนื้อที่ด้านหนึ่งของวัดก็เอียงลาดลงมาติดกับขอบถนน ทำให้คนที่อยู่บนพื้นที่วัดสามารถมองเห็นอะไรๆ บนท้องถนนได้อย่างชัดเจน หากแต่คนที่อยู่บนถนนกลับต้องแหงนหน้ามองขึ้นไป และตรงที่ลาดเอียงนี้เอง ทางวัดได้ทำพื้นดินเป็นขั้นบันได สามารถเดินลงมายังถนนได้อีกด้วย
ณ เย็นวันหนึ่งที่ท้องฟ้าเริ่มจะโพลเพล้ ข้าพเจ้าขับรถยนต์ส่วนตัวมาเพียงลำพังคนเดียวด้วยความเร็ว 80 ก.ม. ต่อชั่วโมงโดยประมาณ ข้าพเจ้ากำลังจะขับรถยนต์ผ่านถนนที่ติดกับเนื้อที่ของวัดดังกล่าวนี้พอดิบพอดี ทันใดนั้นเอง ข้าพเจ้าก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อจู่ๆ บนถนนข้างหน้าห่างจากรถยนต์ที่ข้าพเจ้าขับมาเพียงไม่กี่เมตร ข้าพเจ้ามองเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งกำลังเดินข้ามถนน อะไรกันนี่ ท่านมายืนอยู่ตรงกลางถนนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้าพเจ้าเหยียบเบรครถยนต์ไม่ทันเสียแล้ว รถยนต์ของข้าพเจ้าพุ่งชนพระรูปนั้นเข้าอย่างจัง จำได้ว่าข้าพเจ้ามองเห็นหน้าท่านพอดิบพอดี ใบหน้าของท่านดูคล้ำ อายุยังไม่มากและมีรูปร่างที่สันทัด สาบานได้ว่าข้าพเจ้าไม่เคยเห็นหน้าท่านมาก่อน มีเสียงดังโป๊กกระแทกเข้ากับรถยนต์ ร่างของท่านล้มลงทันที เมื่อข้าพเจ้าตั้งสติได้แล้ว ข้าพเจ้าจึงรีบชะลอรถยนต์และมองผ่านกระจกมองหลังเพื่อค้นหาเป้าหมาย หัวใจของข้าพเจ้าเต้นแรงและรัวมากขึ้นด้วยอาการตกใจกลัวสุดขีด
แต่ข้าพเจ้าก็ต้องประหลาดใจอย่างมากเมื่อข้าพเจ้ามองเห็นท่านลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง ข้าพเจ้าจึงรีบเปลี่ยนความสนใจมาที่รถยนต์เพื่อเหยียบเบรคข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าจะต้องหยุดรถยนต์ให้ได้ในทันที เมื่อรถยนต์จอดสนิทข้างทาง ข้าพเจ้าจึงรีบหันไปมองด้านหลังผ่านกระจกหลังของห้องโดยสารอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เห็นว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ รถยนต์ของข้าพเจ้ายังคงอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุไม่มากนัก แต่ข้าพเจ้าก็กลับมองไม่เห็นพระรูปนั้นเสียแล้ว ถนนมีแต่ความว่างเปล่า เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้
ข้าพเจ้าถอนหายใจด้วยความโล่งอกและปนด้วยความงุนงงสับสน แต่แล้วเพียงเสี้ยววินาทีนั้นเองด้วยสัญชาตญาณ ข้าพเจ้าจึงรีบขับรถยนต์หนีออกไปทันที บอกไม่ถูกว่าข้าพเจ้าควรรู้สึกอย่างไรดี จะร้องไห้หรือหัวเราะดี และควรทำอย่างไรต่อไป รู้แต่เพียงว่าข้าพเจ้าควรไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุดและให้ไกลที่สุดก่อนที่จะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น เมื่อข้าพเจ้าขับรถยนต์ออกไปได้เพียงไม่กี่อึดใจ และยังไม่ทันขับผ่านอาณาบริเวณของวัด ทันใดนั้นเอง ข้าพเจ้าก็เห็นพระรูปนั้นกำลังเดินลงมาตามขั้นบันใดดินเดินลงมาที่ถนน ท่านอยู่ข้างหน้ารถยนต์ของข้าพเจ้าพอดี ใช่! เป็นพระรูปเดียวกันอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าตกใจกลัวมาก คิดว่าใบหน้าของข้าพเจ้าคงซีดเผือด ข้าพเจ้ารีบกดคันเร่งอย่างไม่ยั้ง
.. .
“โยม โยม นี่ก็เย็นมากแล้วนะ รีบกลับบ้านได้แล้ว” ข้าพเจ้างัวเงียขึ้นมาจากโต๊ะหินกลมๆ ของวัดที่ข้าพเจ้ามานั่งพักผ่อนและฟุบหลับไป ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคนมาปลุก จึงรีบตั้งสติ นึกไม่ได้ว่าข้าพเจ้านอนหลับไปนานแค่ไหนกันหรือ? ข้าพเจ้าเงยหน้ามองไปที่เสียงของชายคนนั้น ชายคนนั้นยืนอยู่ใกล้ๆ ข้าพเจ้านี่เอง ท่านห่มจีวรในชุดสงฆ์และเมื่อมองชัดๆ ก็ปรากฏว่าเป็นพระรูปเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าขับรถยนต์ชนท่านเมื่อกี้นี้เอง ข้าพเจ้าถึงกับตกใจกลัวอย่างบอกไม่ถูก
ข้าพเจ้ายกมือไหว้ท่าน ก่อนรับคำและรีบเดินไปที่รถยนต์ ข้าพเจ้ายิ่งสับสน ยกนาฬิกาขึ้นมาดู ตายจริง เกือบ 6 โมงเย็นแล้ว อะไรนะที่ทำให้ข้าพเจ้ามาฟุบหลับที่วัดแห่งนี้ได้ ให้ตายสิ นี่มันอะไรกันหรือ? ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นพระรูปนี้มาก่อนเลยในชีวิต และข้าพเจ้ายังจำไม่ได้ว่าข้าพเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยคิดจะเข้ามาในวัดแห่งนี้เสียก่อน เมื่อข้าพเจ้ามาหยุดยืนอยู่ตรงประตูรถยนต์ ข้าพเจ้าเอามือล้วงหากุญแจรถยนต์ในกระเป๋าเสื้อ ข้าพเจ้าก็พบกับกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกพับจากสี่ส่วนย่อเหลือเพียงส่วนเดียว ข้าพเจ้าคลี่มันออกดู มันคือกระดานหมากเดินที่เรียกว่ากระดานงูนี่เอง ซึ่งมีทั้งไต่ขึ้นและตกบันไดลงมาเมื่อต้องเจอะงู ซึ่งดูเหมือนกับตอนที่พระท่านเดินลงมาตามขั้นบันได อย่างไรอย่างนั้นเอง
เฮ้อ! ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรกับตัวเองดี ข้าพเจ้ารีบขับรถยนต์กลับที่พัก ไม่ไปไหนอีกแล้ว ขอยานอนหลับสักเม็ดคงพอนะ เพราะตอนนี้ไม่ค่อยสบายและได้ใช้ยานอนหลับมาสักระยะหนึ่งแล้ว
อนิจจัง วัฏฎะ สังขารา
|